คัมภีร์กุงกะชัมพ์ ภาค ๑
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา วันที่ ๘ เมษายน ๒๓๑๐ ขณะนั้นกรุงศรีอยุธยากำลังจะโดนพม่าล้อมพระนครไว้ ท่านพระยาโหรซึ่งเป็นผู้ที่ทำนายดวงชะตาเมืองได้หยั่งรู้ว่า ต่อไปดวงชะตาเมืองกำลังจะถึงฆาต จึงได้เรียกให้หลวงฤทธิ์บุตรชายมาพบและมอบคัมภีร์กุงกะชัมพ์ให้และบอกให้หลวงฤทธิ์พาลูกเมีย คือ จำเนียร และลูกสาวอีกสองคน คือ ซุ้มแก้วและเรือนทอง ลอบออกไปจากพระนครก่อนที่กรุงจะแตก และให้เดินทางไปอาศัยอยู่กับขุญหาญและภรรยาที่กลางป่า ส่วนตนเองนั้นจะขอตายอยู่ที่พระนครนี่ ระหว่างทางที่ทั้งสี่ชีวิตกำลังเดินทางไป ก็เผอิญได้ไปเจอกับทหารพม่าหลายนาย จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น หลวงฤทธิ์บอกให้จำเนียรพาลูกๆหนีไปก่อน ส่วนตนเองจะรับมือกับพวกทหารพวกนี้เอง และมอบห่อผ้าที่บรรจุหีบคัมภีร์กุงกะชัมพ์ไว้ให้กับซุ้มแก้วและกำชับว่าให้ดูแลให้ดีๆ สิ้นคำสามีจำเนียรจึงรีบพาลูกหนีไป แต่ขณะที่ทั้งสามแม่ลูกกำลังหนีไปก็ไปเจอเข้ากับทหารพม่าสองนายซึ่งยืนขวางหน้าหมายจะทำร้าย ซุ้มแก้วเห็นว่าแม่กำลังจะโดนทำร้ายจึงเอาตัวเข้าขวางทำให้ทหารพม่านายหนึ่งยกดาบขึ้นจะฟัน แต่พลันก็มีแสงมหัศจรรย์สว่างจ้าเปล่งแสงออกมาจากห่อผ้า และชั่วพริบตานั้น ซุ้มแก้วก็หายตัวไปอยู่ในยุค กรุงเทพฯ ๒๕๓๓ (๒๒๓ปีต่อมา) แต่โชคดีที่มีฤดีมลกับโศรดาผ่านมาพบเข้า ด้วยความสงสารฤดีมลจึงได้นำซุ้มแก้วไปฝากไว้กับผู้กองฤทธิชัยแฟนหนุ่มเพื่อให้สืบหาพ่อแม่ เวลาผ่านไป ๑๔ ปี ตอนนี้ซุ้มแก้วเข้าสู่วัยสาวเ ริ่มเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย มีเพื่อนสนิทมากมายหลายคน อาทิ จินตนา รุ่งวิทย์ คมสัน สุนีย์ และมีแฟน ชื่อ ภาสกร แต่ถึงตัวจะอยู่ในยุคปัจจุบันแต่ซุ้มแก้วก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวต่างๆในยุคก่อนจากเรือนทองผู้น้องโดยการฝันถึงกันตลอดเวลา ๑๔ ปี และแล้ววันหนึ่งซุ้มแก้วก็ได้กลับไปสู้ยุคเดิมโดยพักอาศัยอยู่กับ พระพิชิตสงคราม จำเนียร และเรือนทอง โดยที่ทั้งพ่อและแม่ไม่รู้ว่าซุ้มแก้วเป็นลูกของตนที่หายไป รู้เพียงว่าเป็นเพื่อนของเรือนทองชื่อ ซ่อนกลิ่นเท่านั้น ระหว่างที่อยู่ที่นี่ซุ้มแก้วมีโอกาสได้ไปร่วมพิธีลงเสาหลักเมือง ได้ไปไหว้พระแก้วมรกต ต่อมาเรือนทองได้ลองนำเอาคัมภีร์กุงกะชัมพ์ออกมาอ่านจึงทำให้สองพี่น้องได้หลุดเข้ามาสู่ยุคปัจจุบัน และเรือนทองก็ได้พบกับผู้การฤทธิชัย(ที่มีหน้าตาเหมือนกับบิดาของตน) พร้อมด้วยฤดีมล พ่อและแม่บุญธรรมของซุ้มแก้ว แต่ในบ่ายวันหนึ่ง เสี่ยสมานและอาข่าสองโจรที่พ้นออกมาจากคุกในคดียาเสพย์ติด ได้ผูกใจเจ็บผู้การฤทธิชัย จึงลอบเข้ามาจับตัวซุ้มแก้ว เรือนทอง และเพื่อนของเธอไว้เป็นตัวประกันเพื่อแก้แค้น แต่พลันเรือนทองก็ได้ยินเสียงเจ้าคุณปู่แว่วมาบอกให้ท่องคาถาในคัมภีร์ฯ และหลังจากนั้นทุกคนจึงถูกดึงให้กลับมาอยู่ในยุค บางกอก พ.ศ.๒๓๒๗อีกครั้ง และหมดหวังที่จะได้กลับสู่ยุคปัจจุบันได้อีกเพราะคัมภีร์กุงกะชัมพ์ได้หายไปแล้ว เนื่องจากเสี่ยสมานกับอาข่าได้ขโมยไปตอนที่ทุกๆคนสลบอยู่ ต่อมาเสี่ยสมานและอาข่าไปเข้าร่วมกับพวกโจรไพรเขียวหมายที่จะปลงพระชนพ่อเจ้าอยู่หัวแต่ไม่สำเร็จพวกโจรไพรเขียวถูกสังหาร ทั้งสองจึงไปเป็นพวกของทหารพม่า ด้านซุ้มแก้วหลังจากฟื้นคืนสติและอธิบายเรื่องต่างๆให้ทุกคนฟังจนเข้าใจดีแล้ว จึงพาเพื่อนๆ ไปพักอยู่ที่เรือนของตน ซึ่งต่อมาความลับที่ซุ้มแก้วปิดบังพ่อกับแม่ไว้ก็ถูกเปิดเผย สามปีต่อมา เกิดศึกขึ้นที่ทุ่งลาดหญ้า พระพิชิตสงคราม พร้อมด้วย หลวงนนท์และเพื่อนๆของซุ้มแก้ว ได้ออกไปทัพ เรือนทองจึงปลอมตัวเป็นชายหมายที่จะลอบไปกับขบวนทัพ เพราะมีความคิดที่อยากจะช่วยให้เพื่อนๆของซุ้มแก้วได้กลับบ้าน และรู้ว่าคัมภีร์ฯอยู่ที่เสี่ยสมานกับอาข่าซึ่งศึกในครานี้ทั้งสองคนจะต้องไปร่วมด้วย แต่ขณะที่กำลังจะลอบออกไปจากเรือน ซุ้มแก้วกับจินตนาและมะลิก็ออกมาพบเข้าซะก่อน ทั้งสี่จึงตกลงปลอมตัวไปด้วยกัน แต่ขณะเดินทางอยู่นั้นหลวงนนท์ก็มาเจอและจับได้จึงพาทั้งหมดไปฝากไว้กับครอบครัวมอญชั่วคราวจนกว่าศึกจะสงบ หลังจากนั้นจึงเกิดการสู้รบกันอย่างหนักที่ทุ่งลาดหญ้า เกิดเสียงปืนดังสนั่นไปทั่ว เรือนทองเป็นห่วงพ่อจึงขี่ม้าออกไปหาพระพิชิตฯโดยมี ซุ้มแก้ว จินตนาและ มะลิขี่ม้าตามมา แต่เมื่อเรือนทองมาถึงก็พบว่าทัพพม่าได้แตกพ่ายหนีไปสิ้น และภาสกรก็ได้คัมภีร์คืนมา แต่พระพิชิตสงครามกับโดนพม่ายิงจวนเจียนจะสิ้นลม ซึ่งก่อนตายพระพิชิตฯฝากให้หลวงนนท์ช่วยดูแลเรือนทอง และขอร้องให้ซุ้มแก้วอยู่ดูแลแม่กับน้องที่ยุคนี้ อย่ากลับไปสู่ยุคปัจจุบันอีก แต่เพื่อนๆก็อยากจะให้ซุ้มแก้วกลับไปด้วยกัน แล้วซุ้มแก้วจะตัดสินใจอย่างไร และ ภาสกร กับเพื่อนๆซุ้มแก้วจะได้กลับบ้านหรือไม่